วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระเครื่องจังหวัดตรัง


พระพุทธสิหิงค์มิ่งมงคลตรัง (พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง)

จังหวัดตรังเป็นอีกหนึ่งในเมืองขึ้นของนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราชอดีตนั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆนะครับ) ตรังเป็นจังหวัดแรกในประเทศไทยที่นำต้นยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง เป็นที่ติดต่อค้าขายกับประเทศตะวันตก เช่น มอญ พม่า ลังกา อินเดีย เปอร์เซีย มานานนับพันปี เปรียบดั่งประตูเมืองประจำฝั่งทะเลตะวันตกของแหลมมลายู สัญลักษณ์ประจำจังหวัดคือ "กระโจมไฟ" มีปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองคือ พระเจดีย์วัดตันตยาภิรม เป็นเจดีย์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเจดีย์นี้สร้างสมัยรัตนโกสินทร์ ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองคือ "พระพุทธสิหิงค์มิ่งคงคลตรัง"
พระเกจิคณาจารย์ที่รับความนิยมเลื่อมใสและศรัทธามากที่สุดของชาวบ้านในจังหวัดตรังคือ หลวงพ่อวัน นะมะโส วัดประสิทธิชัย เหรียญรุ่นแรกของท่านสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2487 เป็นเหรียญหลักยอดนิยมของวงการพระเครื่อง นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อเอียด วัดหนองช้างแล่น ที่โด่งดังกับเหรียญรุ่นแรกทั้งสององค์ หลวงพ่อด้วน วัดควนธานี ผู้สร้างเหรียญหยดน้ำรุ่นแรกและพิมพ์รูปไข่ ปีพ.ศ. 2488 หลวงพ่อช่วง วัดมัชฌิมภูมิ หล่วงพ่อรุ่ง หลวงพ่อลบ วัดตรังคภูมิ หลวงพ่อสีทันดร วัดนาท่าม หลวงพ่อนิ่ม วัดไทรทอง และหลวงพ่อแสง วัดพระถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา) ทุกองค์ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็น "พระดีศรีเมืองตรัง" มีความเข้มขรังในด้านพุทธาคม และพระเครื่องที่คณาจารย์หล่านี้สร้างนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมแทบทั้งสิ้น




เหรียญยันต์กลม วัดห้วยยอด

เหรียญหลวงพ่อลบ รุ่นแรก



เหรียญหล่อโบราณ หลวงพ่อด้วน


เหรียญหลวงพ่อนิ่ม รุ่นแรก



วัตถุอาถรรพ์กะลาตาเดียว



กะลาตาเดียวที่ผ่านพิธีกรรมที่สมบูรณ์จริงๆ มาแล้วในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้นได้กล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุหรือพระราหูแทรก ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อนมีเคราะห์ต่างๆ เพราะพระราหูนั้นเป็นเทพอสูรเป็นความบาปเคราะห์ แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นการเสวยอายุหรือแทรกอายุไป ก็ยังแผลงฤทธิ์ตอนเข้าหรือตอนออกด้วย ในทักษาจึงกำหนดไว้ว่า เมื่อพระราหูเสวยอายุหรือแทรก จะต้องทำพิธีต้อนรับพระราหูและตอนที่พระราหูจรออกต้องทำพิธีส่งพระราหู หาไม่แล้วจะเดือดร้อนจนไม่อาจประคองตัวได้ถึงกับล้มละลายหรือประสบกับพิบัติต่างๆ กับตัวเองหรือบุคคลรอบข้างได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่บุพราจารย์โบราณใช้บรรเทาฤทธิ์ของราหูได้เป็นอย่างดี คือ กะลาตาเดียวนั่นเอง

กะลาที่เป็นวัตถุมงคลธรรมชาติที่มีดีมีเทพรักษาอยู่ในตัวก็คือ กะลาตาเดียว จะมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ที่ผิดแผกไปจากธรรมชาติของกะลาทั่วไปก็คือ จะมีปากที่เป็นรูงอกหน่อหนึ่งรูและก็จะมีตาส่วนที่บุ๋มลงไปเพียงหนึ่งตาเท่านั้น โดยจะมีเส้นสาแหรกแบ่งกะลาออกเป็นสองส่วน กะลาชนิดนี้เป็นวัตถุมงคลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้ยังไม่นำมาทำพิธีกรรมก็สามารถใช้ได้แล้วแต่ไม่ดีมากนัก แต่ถ้าหากนำมาแกะเป็นรูปพระราหูแล้ว เข้าพิธีปลุกเสกผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องแล้วจะเป็นของขลังที่ส่งพลานุภาพให้กับผู้บูชาได้สมปรารถนาทุกปราการ แต่การที่จะหากะลาตาเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะว่ากะลามะพร้าวทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันลูกจึงจะเจอสักลูกสองลูกถ้าผู้ใดเจอก็นับว่าโชคดีของผู้นั้นไป ผู้รู้จะใช้กะลาตาเดียวตัดครึ่งใบ นำส่วนที่มีตาเดียวไว้ใช้ตักข้าวสารหุงกิน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินให้กับครอบครัว ไม่มีคำว่าอดอยากสมบูรณ์ทุกอย่างในการทำมาหากินประกอบอาชีพทุกๆอาชีพ

อำนาจอานุภาพสรรพคุณของกะลาตาเดียวที่นำมาแกะป็นราหูและผ่านพิธีกรรมที่สมบูรณ์มาแล้วที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ1.เป็นอำนาจทางคงกระพันชาตรี เป็นมหาอุดอย่างยอดเยี่ยมที่สุด2.มีอำนาจในทางป้องกันภูตผีปีศาล ทำลายอำนาจมนต์ดำ ลบล้างอำนาจคุณไสย กันผีกันคุณไสย เสนียดจัญไรต่างๆ ลมพัดลมเพได้ดีที่สุด3.เป็นสื่อนำทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหารสิ่งดีๆต่างๆมาสู่ผู้บูชา คำว่าอดอยากเป็นไม่มี คือสามารถหาเงินทองมาได้ตลอดไม่ขัดสนแต่เหลือหรือไม่เหลือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง4.มีความเจริญในการทำมาหากิน เรือกสวนไร่นา รับราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ ค้าขายร่ำรวยทุกอาชีพหากินไม่ขัดข้องตามอาชีพ5.เป็นเมตตามหานิยมสำหรับผู้พบเห็นเข้าหาเจ้านายหรือเพศตรงข้าม6.ใช้รักษาโรค

ส่วนพระเกจิอาจารยืที่โด่งดังจากกะลาตาเดียวคือ "หลวงพ่อน้อย" วัดศรีษะทอง จ. นครปฐม ที่สร้างพระกะลาตาเดียวที่โด่งดังไปทั่วประเทศเป็นที่เฟ้นหาของนักสะสมของเซียนพระทั้งหลาย ส่วนถ้าท่านอยากชมกะลาตาเดียวหรืออยากเป็นเจ้าของนั้น ผมขอแนะนำว่าให้ไปชมที่ตลาดจตุจักรโครงการ1ร้านคุณแดงกะลาตาเดียว ซึ่งร้านนี้นั้นไม่ได้เพียงแต่จำหน่ายกะลาตาเดียวที่ผ่านการปลุกเสกจากเกจิอาจาย์ที่มีความรู้ทางด้านกะลาตาเดียวมาแล้วเท่านั้น แต่ยังรับทำของแฮนด์เมด อาทิเช่น กรอบพระเงิน ทองคำ ตลอดไปจนถึงกำไลทอง เงินที่ล้ำค่า ลองไปแวะชมกันได้นะครับ




กะลาตาเดียวแกะสลักเป็นรูปพระราหูทั้งใบ


กะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง


วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระเครื่องจังหวัดภูเก็ต

พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมี



ภูเก็ตเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีชายหาดที่สวยงามเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในนามของ "ไข่มุกอันดามัน" เดิมภูเก็ตเรียก "เกาะถลาง" อดีตเคยเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของนครศรีธรรมราช มีวีรสตรีศรีสยามที่ขับไล่พม่าปกป้องเมืองถลางไว้ได้จนเป็นที่เคารพของชาวเมือง ท่านคือ "ท้าวเทพกษัตรตรี ท้าวศรีสุนทร" มีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองคือ "พระผุด" (พระทอง) วัดพระทอง ปูชนียสถานที่สำคัญคือ "พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมี" ศิลปกรรมจำลองแบบจากพระธาตุพนม จังหวัดนครพนมภายในบรรจุพระสารีริกธาตุ พระคณาจารย์เกจิที่โด่งดังและสำคัญประจำจังหวัด ได้แก่ พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม) วัดฉลอง ท่านเป็นผู้นำปราบกบฏอั้งยี่ที่เข้ามารุกราน และมีอภินิหารอันอัศจรรย์จนถึงต้องปิดทองที่ตัวของท่าน ท่านคือผู้สร้างผ้าประเจียดโพกศรีษระที่มีฤทธานุภาพเลื่องลือโด่งดังเหมือนกับเหรียญยอดนิยมทั้งสามรุ่นที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2473 2486 2497
ส่วนพระเกจิคณาจารย์รูปอื่นๆที่มีชื่อเสียงและโด่งดัง นอกเหนือจากหลวงพ่อแช่มแล้วยังมี หลวงพ่อช่วง วัดภูเก็ตที่โด่งดังกับเหรียญรูปไข่ หลวงพ่อหนู วัดท่าเรือ ที่โด่งดังมาจากรูปเหมือนลอยองค์และเหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อฉ้วน วัดกะตะ ที่ออกเหรียญรูปเหมือนในปี พ.ศ. 2520 พ่อท่านรอด วัดโฆษิต หลวงพ่อคล้าย วัดสว่างอารมณ์ หลวงพ่อเขี้ยว วัดป่าตอง เป็นต้น





พระบูชาหลวงพ่อแช่ม



หลวงพ่อแช่มเนื้อเงินลงยาสีแดง ปี2497

หลวงพ่อแช่ม ปี2486 หลังยันต์วรรค





หลวงพ่อแช่ม ปี2512




พระเครื่องจังหวัดพัทลุง

พระธาตุเจดีย์ วัดเขียนบางแก้ว

พัทลุงอดีตเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราช มีสำนักตักศิลาพระเวทย์ที่โด่งดังที่สุดของภาคใต้ คือสำนักเขาอ้อที่ยิ่งใหญ่ ปูชนียสถานที่สำคัญคือ พระธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน เป็นเจดีย์ที่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมีมากมายหลายท่าน ส่วนมากจะเป็นพระเกจิอาจารย์ของสายเขาอ้อเช่น พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาที่สร้างเหรียญรุ่นต่างๆที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน พระมหาว่านขาว-ดำ เป็นต้น พระครูสิทธยาภิรัต (พระอาจารย์เอียด) วัดดอนศาลาผู้เชี่ยวชาญสรรพวิชาของเขาอ้อ ที่โด่งดังกับพระปิดตาเนื้อโลหะพิมพ์ต่างๆ พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อท่านได้สร้างพระปิดตาไว้หลายพิมพ์และหลายเนื้อ แต่ละพิมพ์ล้วนมีประสบการณ์ให้เห็นเป็นประจักษ์กันมาบ้างแล้ว ส่วนพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆที่ไม่ใช่สายเขาอ้อแต่ได้รับความศรัทธาจากชาวบ้านเช่น หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระผู้มีวาจาสิทธิ์ พระเครื่องของท่านที่เด่นดังได้แก่ พระสังกัจจายน์ พระปิดตา พระกลีบบัว เหรียญรูปเหมือน พระเครื่องของท่านแต่ละประเภทนั้นล้วนมีพุทธคุณทางด้านมหาอุด คงกระพันชาตรี แทบทั้งสิ้น และก็ยังมีพระอาจารย์เจ็ก วัดเขาแดงตะวันตกที่ปรากฏอภินิหารมากมายจากพระเครื่อง เนื้อโลหะผสมรุ่นต่างๆ เช่น พระฤาษี พระสังกัจจายน์ พระปิดตา เป็นต้น นอกจากนั้นก็ยังมีพระเกจิอาจารย์รูปต่างๆที่โด่งดังอีก เช่น พระอาจารย์เซ็น วัดท่ามิหรำ หลวงพ่อเหลี่ยม วัดนาท่อม พระอาจารย์ชัย วัดควรปลิง พระอาจารย์วัน วัดปากพะยูน เป็นต้น ซึ่งพระเกจิเหล่านี้โด่งดังกันจนเป็นที่รู้จักกันของคนในภาคใต้ พระเครื่องของท่านต่างมีคนอยากได้มาครอบครอง ซึ่งอาจจะหายากกันสักหน่อยนะครับ เพราะเป็นพระเกจิอาจารย์เฉพาะของภาคใต้




เหรียญพระอารจารย์นำ


พระบูชาทักษิณชินวโร รุ่นแรกเนื้อโลหะ

พระปิดตาอาจารย์ปาน พิมพ์มหาอุตม์

พระปิดตาอาจารย์เอียด พิมพ์ว่าวจุฬา


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

พระพิฆเนศห้วยขวาง


เมื่อถึงยามราตรีเราจะนึกถึงอะไรบ้าง บางคนจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง บางคนก็จะนึกถึงร้านอาหารหรูบรรยากาศดีๆพาคนที่เรารักไปทานข้าวดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติค แต่บางคนก็จะนึกถึงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เหมาะแก่การไปทำบุญ ขอพร สถานที่อันศักดิ์สิทธ์ที่จะกล่าวถึงนี้คือ " พระพิฆเนศห้วยขวาง "
พระพิฆเนศห้วยขวางนั้นเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับบุคคลทั่วไปหรือบุคคลที่ต้องการหาที่พึ่งทางใจยามค่ำคืน พระพิฆเนศนั้นถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เทพเจ้าแห่งศิลป์ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ดังนั้นใครๆที่ต้องการความสำเร็จ ต้องการปัญญา ควรต้องเคารพนับถือพระพิฆเนศก่อน ส่วนหนูที่เราเห็นว่าอยู่กับองค์พระพิฆเนศนั้นโดยทางโบราณกล่าวไว้ว่าหนูเป็นเป็นสัตว์ที่ฉลาดฉลียวสามารถกัดทุกอย่างให้ขาดได้จึงเหมาะสมแล้วที่เป็นบริวารและเป็นพาหนะของพระพิฆเนศ และการที่จะบูชาองค์พระพิฆเนศนั้นต้องมีดอกไม้สีสด เช่นดอกดาวเรือง ประกอบด้วยเครื่องเซ่นคือ ผลไม้ต่างๆหลักๆเช่นกล้วยดิบ มะพร้าวอ่อน ชมพู่เป็นต้น ใครที่สนใจจะไปสักการะเอาเป็นว่าถ้าไม่ได้นำของเหล่านี้ไปทางศาลเค้าก็จะมีเตรียมไว้พร้อมไม่ต้องห่วงแต่จะต้องเสียสตางค์กันหน่อยนะครับถือว่าเป็นการทำบุญ
เหตุที่ต้องสร้างพระพิฆเนศที่ห้วยขวางนั้นก็เพราะเมื่อสมัยก่อนนั้นที่ดินตรงแถวๆนั้นได้เกิดอุบัตติเหตุขึ้นมากมายประกอบกับที่ดินตรงนั้นมีแต่คนเดินผ่านไม่สามารถทำการค้าหรือธุรกิจใดๆได้ ต่อมาอาจารย์ สุชาติ รัตนสุข ได้มาดูที่ดินแปลงนี้และลงความเห็นว่าควรมีรูปเคารพองค์เทพตั้งไว้เพื่อแก้เคล็ดที่ดินตรงนี้ ต่อมาอาจารย์ สุชาติ รัตนสุข ท่านจึงได้มอบองค์พระพิฆเนศซึ่งประจำอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมและให้บูรณะพื้นที่ให้ดีขึ้นแล้วนำมาจัดตั้ง เมื่อนำพระพิฆเนศมาประดิษฐานไว้เรียบร้อยแล้วก็ได้มีคนมากราบไหว้บูชาขอพนกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีทั้งดารา นักศึกษา และพวกที่ทำมาค้าขายต่างมากราบไหว้ขอพรและส่วนมากก็จะประสบพบกับความสำเร็จตามที่ได้ขอพรกันไว้ทำให้มีการมาแก้บนกันหนาตา
นอกจากจะมีองค์เทพพระพิฆเนศที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังมีองค์เทพต่างๆอีกมาก เช่น องค์เทพอัยรา พระศิวะและพระมหาอุมาเทวี พระตรีมูรติทรงกระบี่นิลพัท เวสสุญาณ(พิเภก) ตลอดไปจนถึง ปู่ฤาษีสัตบงกช(ปู่ให้ลาภ) ปู่ฤาษีนารอด ปู่ฤาษีปราบมาร และที่ขาดไม่ได้เลยคือมีร้านเช่าวัตถุมงคลหรือองค์พระพิฆเนศและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆดังที่กล่าวมาแก่บุคคลที่สนใจ ซึ่งวัตถุมงคลแต่ละอย่างนั้นล้วนได้รับการปลุกเสกเข้าพิธีอันขลังและศักดิ์สิทธิ์กันมาแล้ว
สุดท้ายนี้แล้วนะครับผมจึงอยากเชิญชวนทุกๆท่านที่มีความสนใจ อยากมีสิริมงคลแก่ตัวเอง อยากประสบพบความสำเร็จในชีวิตและการงาน ศาลพระพิฆเนศห้วยขวางรอท่านอยู่นะครับ และศาลพระพิฆเนศแห่งนี้นะครับไม่มีเวลาปิดพูดง่ายๆนะครับเปิดตลอด24ชั่วโมงนั่นเองครับ

มหาเทพอัยรา

พระศิวะ และ พระมหาอุมาเทวี

เวสสุญาณ (พิเภก)

พระตรีมูรติ ทรงกระบี่นิลพัท

ปู่ฤาษีปราบมาร

ปู่ฤาษีนารอด

ปู่ฤาษี สัตบงกช (ปู่ให้ลาภ)

พระพิฆเนศพร้อมพระชายา 2 พระองค์

หนูเป็นบริวารของพระพิฆเนศ
ร้านให้เช่าวัตถุมงคล

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

พิธีการลงเลขยันต์และเครื่องสังเวยบูชา

วิชาการในเรื่องเลขยันต์นี้ เป็นวิชาที่สำคัญมากแขนงหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นลัทธิของชาติใดที่นับถือความขลังของเวทมนต์คาถา ต่างก็บัญญัติขึ้นไว้ตามรูปแบบอักขระนิยมของชาตินั้น ภาษานั้น สำหรับยันต์ของชาติอื่นๆ เช่น ยันต์ของอาหรับ ซึ่งแพร่หลายเป็นอย่างมากในทวีปยุโรปนิยมบรรจุไว้ในยันต์ถือว่าเป็นเกณฑ์กำลังของดวงดาวต่างๆ


ส่วนยันต์ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยของเรานั้น นิยมใช้ยันต์ที่ลงด้วยตัวอักษร และตัวอักษรที่จารึกในยันต์ใช้ลงอักษรขอมแทนอักษรไทย เพราะถือว่าเป็นหนังสือใช้ในเรื่องศาสนามาแต่เดิม นับถือว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์ดีถ้าลงด้วยหนังสือไทยนั้นท่านว่าไม่ค่อยจะขลัง ตามมติของโบราณาจารย์ถือกันว่าเส้นยันต์นั้นนั้นเปรียบเสมือนสายรกของพระพุทธเจ้า ยันต์ที่นิยมลงกันนั้นแบ่งออกเป็นลักษณะหลายชนิด คือ ยันต์กลม ยันต์เหลี่ยมยันต์ชนิดสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมเป็นต้น

ก่อนที่เราจะประกอบพิธีลงเลขยันต์นั้น จำเป็นต้องจัดหาเครื่องสักการะบูชาคุณพระรัตนตรัย เทพยาดาและครูบาอาจารย์ที่เราได้เล่าเรียนกับท่านมา ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม เพื่อที่ท่านจะได้ประสิทธ์ประสาทความสำเร็จให้ การบูชาพระรัตนตรัยนั้นก็ควรที่จะใช้ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องบูชา สำหรับการบูชาครูนั้น นอกจากจะมีดอกไม้ ธูป และเทียนแล้ว จำเป็นต้องมีเครื่องบูชาอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอืกด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีขันครู ขันครูนั้นประกอบขึ้นด้วยขันล้างหน้า 1 ใบ เป็นขันอะลูมิเนียมหรือขันลงหินก็ได้ และต่อจากนั้นจัดทำกรวยขึ้นมา5กรวย กรวยนี้จะทำด้วยใบตองสดเย็บเป็นกรวยยอดแหลมภายในกรวยแต่ละกรวยจะบรรจุดอกบัว1ดอก ธูปหนึ่งดอก เทียนหนึ่งเล่ม หมาพลู1คำ และข้าวตอกบรรจุใส่ในกรวยทั้ง5 นั้นมีผ้าขาว ผ้าแดงอย่างละผืนขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้าใส่รองในก้นขัน แล้วเอากรวยทั้ง5มาวางลงบนผ้าขาวและผ้าแดงในขันนั้นพร้อมทั้งเงินกำนัลครูจะเป็น12บาท 6 บาท หรือ6สลึงก็ตามเงินค่ากำนัลครูนี้ เมื่อได้จัดทำพิธีเสร็จแล้ว ก็จะนำเงินนั้นไปซื้อของทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนผลบุญไปให้แก่ครูบาอาจารย์ จัดว่าเป็นธรรมพลีคู่กับอามิษพลีที่บูชาด้วยสิ่งของอย่างอื่น ขันครูนี้เป็นเครื่องบูชาชนิดย่อที่จัดทำขึ้นมาเป็นสังเขป เมื่อจะทำพิธีลงเลขยันต์ ถ้าหากจะจัดทำให้เต็มที่ นอกจากะมีขันครูแล้วก็ต้องจัดเครื่องสังเวยบูชา อันประกอบด้วย มัจฉามังสาหาร6ประการ และเครื่องกระยาบวด

มัจฉามังสาหาร6นั้นประกอบด้วย 1.หัวหมู 2.เป็ด 3.ไก่ 4.กุ้ง 5.ปูทะเล 6.ปลาช่อน และเครื่องกระยาบวดประกอบด้วย 1.บายศรีปากชาม 2.กล้วยนำไทหวีงามๆ1หวี 3.มะพร้าวอ่อน1ลูก 4.ขนมต้มขาว 5.ขนมต้มแดง 6.ขนมแกงบวช 7.ขนมหวานสด9อย่าง เช่นทองหยิบ ทองหยอด 8.ขนมหวานแห้ง9อย่าง เช่นขนมผิง ขนมสัมปะนี 9.ขนมเครื่องจันอับ 10.นม เนย 11.ถั่วคั่ว งาคั่ว 12.ถั่วดิบ งาดิบ 13.เผือกต้ม มันต้ม 14.ผลไม่9อย่างรวมกัน1พาน ส่วนมากใช้ผลไม่ที่มีรสหวาน 15.ข้าวตอก1พานระคนด้วยดอกไม้ 16.หมากพลู บุหรี่1พาน 17.ดอกไม้9สี1พาน 18.น้ำเย็น1แก้ว 19.โถแป้งหอมละลายน้ำหอม1โถ 20.เทียนเงินเทียนทอง1คู่ หนักเล่มละ4บาท ไส้เทียน16เส้นปิดทองคำเปลวและเงินเปลว นอกจากนั้นมีธูปหอมสำหรับจุดปักบนเครื่องสังเวยเหล่านี้

เมื่อจัดหาสิ่งของตามที่กล่าวไว้ข้างต้นครบถ้วนแล้วจึงให้วางลงที่ตรงหน้าพระบูชา หรือถ้าทำที่พระอุโบสถก็ให้วางไว้ที่ตรงหน้าพระประธาน ก่อนที่จะวางก็ให้ปูผ้าขาวรองก่อน อันดับแรกนั้นให้จุดธูปบูชาคุณพระรัตนตรัยก่อน สำรวมจิต ตั้งสมาธิให้มั่นแล้วนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พรสังฆเจ้า ขออาราธนาคุณท่านมาเป็นที่พึ่ง

สำหรับพิธีการลงเลขยันต์ และเครื่องสังเวยบูชานั้นก็จะมีบทสวดคาถาอาคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะครับ ส่วนบทสดคาถาอาคมที่จะต้องสวดภาวนานั้นประกอบด้วย บทสวดคาถาสรรเสริญบูชาพระรัตนตรัย คาถาชุมนุมเทวดา คาถาถวายเครื่องสังเวย คาถาสำหรับนมัสการครูอาจารย์ บทสวดคาถาโองการเทพชุมนุมไหว้ครู เมื่อบริกรรมสวดคาถาที่ได้กล่าวมาจนหมดแล้วนั้นเราก็สามารถเริ่มปลุกเสกเลขยันต์ได้ตามใจปราถนา

เครื่องกระยาบวช

เครื่องสังเวย



ยันต์กลม


ยันต์เหลี่ยม

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หลวงพ่อทับวัดทอง


สวัสดีครับ ครั้งนี้จะมากล่าวถึงหลวงพ่อทับวัดทอง เขตบางกอกน้อย กทม. ที่พระเครื่องของท่านเป็นที่กล่าวขานกันโดยทั่วไป นักสะสมหรือเซียนพระน้อยคนนักที่ไม่รู้จัก ก่อนอื่นต้องขอนำประวัติของท่านมาเกริ่นกันให้ทราบกันพอสังเขปกันก่อนนะครับหลวงพ่อทับหรือพระครูเทพสิทธิเทพาธิบดี (ทับ อินโชติ) ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน4คน บิดาของท่านชื่อ นายทิม ปัทมานนท์ มารดาของท่านชื่อ นางน้อย ปัทมานนท์ ท่านเกิดวันเสาร์ ขึ้น15ค่ำเดือน7 ตรงกับวันที่29พฤษภาคม พ.ศ.2390 ที่บ้านคลองชักพระ บางกอกน้อยฝั่งธนบุรี ท่านอายุได้ประมาณ18ปีจึงได้อุปสมบทเป็นสามเณร ศึกษาวิชาความรู้ในสำนักของพระปลัดแก้ววัดทอง ครั้นปีพ.ศ.2411ท่านก็อายุได้20ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นภิกษุ ณ วัดช่างเหล็กเขตบางกอกน้อย พระอุปปัชฌาย์ของท่านคือ พระอธิการม่วงและพระอาจารย์พึ่ง วัดรวก พร้อมกับพระปลัดแก้ว วัดทอง เป็นพระคู่สวด และฉายาของท่านคือ "อินทโชติ"ท่านอุปปัชฌาย์แล้วท่านก็ได้เข้าจำพรรษาที่วัดทอง(วัดสุวรรณราม)ซึ่งวัดทองนี้มีประวัติที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏกันว่าวัดทองนี้ใครเป็นคนสร้างแต่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรเรื่อยมาโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาทั่วทั้งพระอาราม แล้วท่านได้พระราชทานนามใหม่ว่า"วัดทอง"ครั้นเวลาต่อมาหลวงพ่อทับได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากท่านพระครูวิมลปัญญา(เนียม)ในปีพ.ศ.2450 เมื่อวันที่29ธันวาคม พ.ศ.2455ท่านก็ได้มรณะภาพ รวมอายุของท่านได้66ปี พรรษาที่45พระเครื่องหลวงพ่อทับแม้ท่านได้จากเราไปแล้วนะครับแต่พระเครื่องของท่านซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของเซียนพระและนักสะสมพระเครื่องต่างพร้อมใจกันขนานนามพระเครื่องของท่านว่าอยู่ในชุดเบญจภาคีของพระปิดตาเลยทีเดียว โดยพระเครื่องของท่านที่นักสะสมพระเครื่องให้ความสนใจต่างเสาะแสวงหาอยากเป็นเจ้าของกันอย่างมากก็คือ "พระปิดตามหาอุตม์ยันต์ยุ่ง" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านมหาอุตม์ ปืนผาหน้าไม้หมดสิทธิ์เลยละครับที่จะทำอันตรายเราได้พระปิดตามหาอุตม์ยันต์ยุ่งของหลวงพ่อทับนี้มีความโดดเด่นตรงที่มีพิธีการสร้างที่ละเอียดละออ ปราณีตที่สุด องค์พระแต่ละองค์นั้นไม่เหมือนกันเลยหรืออย่างมากองค์พระมีพิมพ์ที่คล้ายๆกัน เพราะการสร้างองค์พระนั้นสร้างขึ้นมาจากแม่พิมพ์ องค์พระสร้างจากเนื้อโลหะพระปิดตามหาอุตม์ของหลวงพ่อทับนั้นมีหลายพิมพ์ เช่นพระปิดตาพิมพ์ตุ๊กตา พระปิดตาพิมพ์นั่งยอง เป็นต้น และพิมพ์ทีได้รับความนิยมจากนักสะสมพระเครื่องจริงๆเลยก็คือ พระปิดตาพิมพ์ยันต์ยุ่งเศียรบาตร และพระปิดตาพิมพ์ยันต์น่อง ส่วนราคาในการเช่านั้นสูงมากจาหลักแสนต้นๆไปจนถึงหลักแสนกลางๆกันเลยทีเดียว ส่วนพระแท้นั้นหายากกันสักหน่อยนะครับเพราะจำนวนการสร้างนั้นน้อยมากๆ ถ้าจะเช่าหากันควรตรวจสอบกันดูก่อนนะครับว่าเป็นพระแท้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่จะปลอมกันมาก









วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หลวงพ่อเงิน






ถ้าจะเอ่ยถึงเรื่องในทางเหนียวคงกระพันชาตรีแล้วละก็คงจะหนีไม่พ้นหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จ.พิจิตร ที่ชื่อของท่านเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปก็เพราะในเรื่องความเหนียวคงกระพันชาตรีระดับแถวหน้าของพระเครื่องที่คนไทยรู้จักกันและท่านได้ถูกเรียกขานกันว่า"เทพเจ้าแห่งอำเภอโพทะเลและเพชรน้ำเอกของจังหวัดพิจิตร"
หลวงพ่อเงินเกิดเมื่อวันที่16กันยายน พ.ศ.2351 ตรงกับวันศุกร์ เดือน10ปีมะโรง เดิมชื่อของท่านคือเงิน บิดาท่านชื่อ อู๋ มารดาของท่านชื่อ ฟัก ท่านเกิดตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่1 หลวงพ่อท่านมีพี่น้องท้องเดียวกัน6คน

หลวงพ่อเงินอายุได้5ขวบ ครูของท่านชื่อนายช่วงได้พาหลวงพ่อเงินไปอยู่กรุงเทพมหานครและได้เข้าไปเรียนที่วัดชนะสงคราม(วัดตองปู) เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งท่านอายุได้12ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาเมื่อถึงอายุครบบวชท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระที่วัดตองปู ฉายาของท่านคือ "พุทธโชติ" ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงครามได้ราวๆ3พรรษา ต่อมาท่านได้ไปถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อที่จะได้ศึกษาวิชาที่เกี่ยวกับวิทยาคม และตลอดจนการเรียนวิปัสสนา ในทางเมตรตามหานิยม และคงกระพันชาตรีจาก"เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒจารย์ โต พรหมรังสี" วัดระฆัง ท่านเรียนจนแตกฉานแล้วจึงกลับไปจำพรรษาที่วัดคงราราม (วัดบางคลานใต้) ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาประมาณ1พรรษา และท่านก็ได้เกิดวามไม่พอใจหลวงพ่ออีกรูปหนึ่งนั้นชอบแหล่เทศน์เสียงดังท่านไม่ชอบ ท่านเลยออกจากวัดไปอยู่ที่บ้านวังตะโก

ท่านได้หักกิ่งต้นโพธิ์3กิ่งไปด้วย แล้วปักลงบนดินที่ป่าตะโก แล้วอธิษฐานจิตว่าถ้าท่านได้สร้างวัดในสถานที่นี้ ถ้าในภายภาคหน้าถ้าวัดแห่งนี้สร้างแล้วจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้กิ่งโพธิ์นี้เจริญงอกงามไปด้วยแล้วคำอธิษฐานของหลวงพ่อนั้นได้เป็นความจริงทุกประการ

หลวงพ่อท่านนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมากจากวิชาอาคมที่เข้มขลังทางด้าน"คงกระพันชาตรี"และเหนียว ประสบการณ์พระเครื่องของท่านเป็นที่ประจักษ์ของคนที่มีพระเครื่องของท่านไว้ครอบครองบูชา ประสบการณที่ว่านั้นนะครับผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ประสบพบเจอมานะครับเรื่องมีอยู่ว่า

วันนั้นตอนกลางดึกซักประมาณตีหนึ่งเกือบตีสอง ผมและรุ่นพี่ได้ออกไปเที่ยวกลางคืนกันตามประสาชายหนุ่มทั่วๆไป ดื่มเหล้า ร้านแรกจนร้านปิดแล้วได้ไปดื่มต่อที่อีกร้านหนึ่ง ร้านที่สองที่ผมและพวกพี่ๆไปเที่ยวนี้นะครับคนเต็มร้านเลย และมันเป็นธรรมดาของการเที่ยวกลางคืนนะครับที่จะมีคนที่เมามายจนไม่ได้สติมาก่อกวน วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนะครับได้เข้ามาจีบแฟนรุ่นพี่ผม แฟนรุ่นพี่ผมคนนั้นเขาไม่ชอบ จึงบอกรุ่นพี่ผมว่ารำคาญพี่ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวเขาไปคุยให้เอง รุ่นพี่ผมเดินตรงเข้าไปแล้วไปคุยกับวัยรุ่นกลุ่มนั้นด้วยท่าทีที่สุภาพ แต่วัยรุ่นพวกนั้นเขาไม่ได้สุภาพเหมือนรู่นพี่ผมนะครับ วัยรุ่นพวกนั้นได้ใช้ขวดเบียร์รุมกันตีที่หัวพี่ผมจนขวดเบียร์แตกไปประมาณ3ขวด แล้วก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากันแล้วเชิญคนที่มีเรื่องกันออกไปคุยกันหน้าร้าน พวกผมก็ออกไปผมเดินประคองรุ่นพี่ออกมาหน้าร้านแล้วคิดว่าต้องรีบพาพี่ผมไปส่งโรงพยาบาลเพราะเหตุการณ์ที่ผมเห็นนั้นมันรุนแรงมาก แต่ปรากฏว่าผมมองสำรวจดูว่าเขาเจ็บมากไหมหัวแตกหรือเปล่า แต่หัวรุ่นพี่ไม่แตกครับ เป็นแค่รอยปูดเท่าผลมะนาวที่หัว มันน่าฉงนนะครับขวดเบียร์3ขวดตีไปที่หัว ไม่น่าเชื่อว่าหัวไม่แตก ผมได้ถามรุ่นพี่ว่ารุ่นพี่รู้ไหมว่าที่โดนตีนั้นหัวพี่ไม่แตก แค่ปูดมาเท่าลูกมะนาว รุ่นพี่บอกว่าไม่รู้ว่าหัวไม่แตกแต่ในใจเขาคิดว่าหัวคงแตกแน่แล้วโดนไปซะขนาดนั้น คนที่เห็นเหตุการณืทุกคนต่างพากันงง แล้วรุ่นพี่เลยนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองแขวนหลวงพ่อเงินอยู่ นี่แหละครับประสบการณ์ที่ผมเจอมาเป็นยังไงกันบ้างครับ เหนียวจริงครับๆพระเครื่องของหลวงพ่อ

หลวงพ่อเงินท่านได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา และโรคริดสีดวงทวาร เมื่อวันศุกร์ แรม11ค่ำ เดือน10 ปีมะแม เวลาประมาณ 5.00 น. ตรงกับวันที่20กันยายน พ.ศ.2462 รวมอายุได้ 111 ปี พรรษาที่90 การมรณภาพเป็นของท่านนำพามาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจของชาว จ.พิจิตรและคนที่เคารพศรัทธาในตัวหลวงพ่อ เป็นอันมาก

พระเครื่องหลวงพ่อเงิน

รูปหล่อลอยองค์ของหลวงพ่อเงินรุ่นแรกนั้น ท่านพระครูพิทักษ์ศีลคุณ ได้เป็นคนสร้างคนแรก รูปหล่อลอยองค์รุ่นแรกนี้นะครับจะมีลัษณะเป็นทองเหลือง ตัวองค์พระจะขรุขระผิวไม่เรียบ หรือที่เซียนพระทั่วไปเรียกว่า"พิมพ์ขี้ตา" เป็นพิมพ์ที่หายากที่สุดมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นปลายๆไปจนถึงหลักล้านบาทกันเลยทีเดียวแต่ส่วนมากราคา คุณค่าของพระเครื่องแต่ละเกจินั้นจะมีราคาที่แพงนั้นนะครับเขาจะดูจากสภาพองค์พระกันทั้งนั้นและครับ ถ้าองค์พระมีสภาพดี ราคาก็จะสูงตามไปด้วยนะครับส่วนรุ่นที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือรุ่นพิมพ์นิยมหรือพิมพ์เบ้าทุบ เหรียญหล่อจอบเล็ก เหรียญหล่อจอบใหญ่ ที่สร้างมาเพื่อให้เด็กและผู้หญิงนั้นได้แขวนคอไว้เพื่อความเป็นศิริมงคล ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงรุ่นที่เซียนพระเขากำลังควานหาอยู่ ใครมีก็เก็บรักษาไว้ให้ดีๆนะครับ และเพราะความศักสิทธิ์ของท่านนั้นนะครับ ทำให้มีการสร้างพระเครื่องหลวงพ่อเงินขึ้นมาอีกหลายรุ่นจนถึงปัจจุบันกันเลยนะครับ



หลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา


จอบเล็กเหรียญหล่อ


วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

มีดหมอด้ามงาหลวงพ่อเดิม

หลวงพ่อเดิมนั้นท่านเป็นที่เคารพ ศรัทธาของชาวนครสวรรค์เป็นอย่างมาก และท่านก็เป็นที่เคารพอย่างกว้างขวางของคนทั่วประเทศ ก่อนที่เราจะได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับมีดหมออันเข้มขลัง และศักดิ์สิทธิ์ของท่าน เรามาศึกษาประวัของท่านกันก่อนนะครับ


ประวัติหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์
หลวงพ่อเดิม (ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์) ถือกำเนิดวันที่6กุมภาพันธ์ ในปีพ.ศ 2403 ตรงกับวันพุธแรม 11 ค่ำเดือน 3 ปีวอก จุลศักราช 1222 เป็นบุตรคนหัวปีหรือคนโตนั่นเองมีพี่น้องทั้งหมด 5 คนและท่านยังเป็นพระที่ไม่เหมือนพระโดยทั่วๆไปคือท่านไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเป็นชิ้นเป็นอันมาตั้งแต่สมัยท่านเด็ก ชีวิตสมัยที่ท่านเป็นหนุ่มวัยรุ่นนั้นท่านชอบเลี้ยงสัตว์ ไม่มีความฝักใฝ่ในเรื่องโลกีย์ และท่านชอบที่จะไปไหนมาไหนโดยที่มีผ้าขาวม้าโพกศรีษะเพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครล้อท่านว่าท่านผมหยิก


เมื่อท่านอายุครบที่จะอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 13 ค่ำเดือน 11 ปีมะโรง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2423 โดยมีหลวงพ่อแก้ว วัดอินทราราม หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยพระทั้งสามรูปนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านวิชาคาถาอาคมอันเข้มขลัง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านอย่างกว้างขวาง และเนื่องจากคุณงามความดีของท่าน ทางการจึงกราบทูลขอพระราชทานสมณศักดิ์เป็น " พระครูนิวาสธรรมขันธ์ "

หลวงพ่อมรณภาพ
ก่อนที่หลวงพ่อเดิมจะมรณภาพนั้นท่านได้ล่วงรู้วาระสุดท้ายของท่าน โดยต้นปีพ.ศ. 2494 ท่านมีอายุได้ 92 ปี วันหนึ่งท่านได้เรียกกรรมการวัดไปจนถึงญาติโญมคนใกล้ชิดมาประชุมโดยพร้อมหน้ากัน การประชุมครั้งนั้นหลวงพ่อปรารภถึงมรณสัญญาณของท่าน แล้วท่านได้ขอร้องต่อคนที่มาร่วมประชุมว่า ขอมอบภารกิจในการบริหารวัดหนองโพให้กับหลวงพ่อน้อย ดูแลรักษาแทนท่านโดยให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป และหลวงพ่อก็ได้บอกว่าอย่าเสียใจในการจากไปของท่าน มันเป็นกฎแห่งกรรม และขอให้ช่วยกันต่อโรงศพของหลวงพ่อเมื่อท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่ได้เดือดร้อนแก่ญาติโญมที่จะต้องไปหาโรงศพ เพราะการเตรียมพร้อมล่วงหน้านั้นคือความไม่ประมาท และให้ช่วยกันสร้างเมรุเพื่อพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ สร้างกันตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่ต้องรีบสร้างกันภายหลังให้เหน็ดเหนื่อย แต่แล้วเมรุเผาศพนี้ก็สร้างเสร็จไม่ทันที่จะพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อ ที่สร้างเสร็จไม่ทันนั้นเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงพ่อจะมรณภาพในเวลาอันใกล้นี้ เข้าสู่ช่วงเวลาเดือนเมษายนงานสรงน้ำหลวงพ่อเดิมได้ผ่านไปแล้ว หลวงพ่อก็ยังคงไปเป็นประธานในพิธีสร้างพระอุโบสถวัดอินทรารามและท่านก็ได้พูดเป็นนัยว่างานนี้อาจจะเป็นงานสุดท้ายของท่านเพื่อสนองคุณพระอุปัชฌาย์ วันที่ 15 พฤษภาคม 2494 หลวงพ่อได้เดินทางกลับจากการเป็นประธานในพิธีสร้างพระอุโบสถวัดอินทราราม ท่านก็มีอาการโรคลมปัจจุบันเข้าแทรกทำให้หลวงพ่อลุกไปไหนมาไหนไม่ได้


อภินิหารครั้งสุดท้ายก่อนท่านมรณภาพ
วันที่ 22 พฤษภาคม ตรงกับวันอังคาร แรม 2 ค่ำ อาการอาพาธของหลวงพ่อทรุดหนักตั้งแต่ตอนเช้า แต่สติของท่านยังดีอยู่และท่านก็ได้ถามผู้ดูแลท่านว่าเป็นเวลาเท่าใดแล้ว ท่านถามอย่างนี้เป็นระยะๆ เวลา17.00น.หลวงพ่อก็ได้ลืมตาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถามคนที่ดูแลท่านว่าน้ำในสระพอกินพอดื่มหรือเปล่าที่ท่านถามเพราะว่าท่านไม่ทราบท่านได้แต่นอนพักผ่อนไม่ได้ออกไปดูทำให้ไม่รู้ และสระทั้ง 2 สระนี้เปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้านหนองโพ คนที่ดูแลท่านจึงตอบว่าน้ำในสระทั้งสองตอนนี้นั้นเหือดแห้งลงไปมากเพราะฝนไม่ได้ตกมานานแล้ว ถ้าฝนไม่ตกอีกประมาณหนึ่งถึงสองวันนี้จะไม่มีน้ำให้ชาวบ้านใช้แน่นอน หลวงพ่อได้ยินแล้วไม่ว่าอะไรและได้เอามือทั้งสองของท่านมาไว้ที่หน้าอกพร้อมกับตาที่หลับสนิทของท่าน และในขณะนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ฟ้าที่สว่างกลับกลายเป็นมืดครึ้มเหมือนว่าฝนจะตก พร้อมกับสายลมที่พัดแรง และแล้วฝนก็ได้ตกลงมาอย่างหนักมาก แล้วน้ำฝนก็ไหลลงสระน้ำทั้งสอง ไหลลงได้ประมาณครึ่งสระฝนตกอย่างหนักกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็ค่อยๆหยุดตก พร้อมกับลมหายใจของหลวงพ่อที่ค่อยๆหมดไปพร้อมสายฝนที่หลวงพ่อดลบันดาลให้กเพื่อที่ได้ต่อชีวิตของชาวบ้านหนองโพ สรุปว่าอย่างนี้นะครับ หลวงพ่อชาตะ เมื่อวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 3 ปีวอก จุลศักราช 1222 ตรงกับวันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2403 หลวงพ่อมรณภาพเมื่อวันอังคารแรม 2 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 เวลา 17.45 น. รวมอายุได้ 92 ปี พรรษาที่70

มีดหมอหลวงพ่อเดิม
กล่าวถึงประวัติของท่านไปแล้วนะครับคราวนี้เรามาเจาะลึกกันนะครับว่าเครื่องรางของขลังของท่านที่คนทั่วไปรวมถึงพวกเซียนพระนักสะสมของขลังอยากได้มาครอบครองนั้นคือ "มีดหมอหลวงพ่อเดิม"อันเลื่องชื่อว่าดี ขลังจัด
มีดด้ามงาลงอักขระ มีลวดลายสวยงามเป็นมีดหมอ ชาวบ้านนิยมเรียกว่ามีดด้ามงา มีดหมอของหลวงพ่อเดิมนั้นว่ากันว่าภูติผีปิศาจกลัวหัวหดเลยละครับ และเหล็กที่ทำมีดหมอนั้นเป็นเหล็กจริงๆไม่ผสมเหล็กอย่างอื่นปนกันได้นำมาหลอมเป็นมีดหมอและให้หลวงพ่อมาปลุกเสก ลืมบอกทุกคนไปนะครับว่ามีดหมอนี้หลวงพ่อได้อาบน้ำยาที่เป็นพิษ ใครโดนบาดเข้าละก็แย่เลย เหมือนเคยมีกรณีที่คนโดนบาดที่ต้นขาเป็นแผลนิดเดียวไม่เป็นอะไรมาก แต่ต่อมาแผลนั้นค่อยๆขยายวงกว้างทำให้คนที่โดนมีดหมอที่บาดนั้นต้องตัดขาทิ้งเลยเชียวนะครับ และที่สำคัญถ้าจะเดินป่านะครับใครมีมีดหมอหลวงพ่อเดิมนะครับพกติดตัวไปด้วยนะครับท่านจะไม่โดนสัตว์ในป่าทำร้ายเอาเลย และถ้าอยู่บ้านนะครับเพียงแค่คุณชักมีดหมอหลวงพ่อเดิมไว้พ้นออกจากฝักสักนิดหนึ่ง จะช่วยป้องกันสิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้ามาอยู่ในบ้าน และสิ่งที่ไม่ดีที่อยู่ในบ้านให้ออกไปหมดเลยนะครับ โถๆถ้าจะเล่าถึงความเข้มขลังของมีดหมอหลวงพ่อเดิมนั้นนะครับคงจะต้องพูดกันอีกยาวเพราะคนที่มีมีดหมอหลวงพ่อเดิมไว้ครอบครองนั้นนะครับส่วนมากเขาจะรู้กันนะครับว่ามีดหมอนั้นเจ๋ง ขลังจริงหรือเปล่า


เข้าเรื่องกันต่อนะครับ มีดหมอส่วนใหญ่ของหลวงพ่อเดิมนะครับสร้างจากฝีมือของช่างฉิม ช่างศร ช่างไข่ อยู่ที่พยุหะคีรี นครสวรรค์ ส่วนมากปลายปลอกเงินมีดหมอของท่านนั้นจะเป็นลายเล็กๆละเอียด มีดหมอของท่านนั้นถือว่ามีพุทธคุณทั้งมหาอำนาจและมหานิยม ส่วนการใช้เงินหุ้มฝักมีดและด้ามมีดนั้นนะครับ เขาจะใช้เงินจากช่างเงินในตลาดพยุหะคีรี โดยมีดหมอหลวงพ่อเดิมนั้นนะครับแต่ก่อนทางวัดหนองโพจัดจำหน่ายเพียงเล่มละ 8-12 บาทเองนะครับ ขึ้นอยู่กับตามขนาดของมีด


ของดีขนาดนี้นะครับท่านผู้อ่านคงคิดเหมือนผมกันนะครับว่าน่าจะมีไว้ครอบครองสักเล่มหนึ่งนะครับ สุดท้ายนี้นะครับผมขอฝากคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้กับช่างฉิม(ช่างที่ทำมีดหมอ)ว่า

คบเพื่อนอย่าเอาเปรียบ

เป็นผู้ใหญ่อย่ารู้มาก


เห็นเงินอย่าตาโต


งานที่เป็นประโยชน์ให้ทำ


มีงานให้ทำ ถ้า ไม่มีงานให้หางานทำ

แล้วค่อยติดตามรายละเอียดของเครื่องลางของขลัง รวมถึงประวัติของพระเกจิทีเข้มขลังกันต่อไปนะครับ
มีดหมอด้ามงาหลวงพ่อเดิม(สภาพดี)

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด




สวัสดีครับ..วันนี้ผมจะมากล่าวถึง "หลวงพ่อทวด" หรือ "หลวงปู่ทวด" ที่คนทั้งประเทศให้ความเคารพ สัการะ บูชากัน

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงประวัติของท่านก่อนสักหน่อยนะครับ หลวงพ่อทวดหรือสมเด็จเจ้าพะโคะ เป็นที่รู้จักของคนทุกภาคในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหารย์ และทางประวัติศาสตร์ท่านเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ

หลวงปู่ทวดได้ถือกำเนิดตรงกับวันศุกร์ เดือนยี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2515 ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบล ชุมพล เมืองจะทิ้งพระ ตอนปลายของรัชสมัยพระมหาธรรมราชา ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแต่มีจิตเป็นกุศล สมัยเด็กท่านมีชื่อว่า"ปู" ท่านเป็นบุตรของนายหู และ นางจันทร์ ตอนท่านยังเป็นทารกอยู่นั้นได้เกิดความอัศจรรย์คือ อยู่มาวันหนึ่งมีงูจงอางยักษ์มาขดที่เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดาและมารดาของท่านท่านมาพบเข้าแล้วเกิดความสงสัยว่างูยักษ์ตัวนั้นน่าจะเป็นเทวดาแปลงกายลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ บารมีของลูกเราหรือไม่ จึงรีบหาเครื่องบูชา เช่นดอกไม้ ธูปเทียน มาสักการะ งูยักษ์ที่ขดตัวอยู่นั้นจึงคลายตัวจากเปลของทารกน้อยคนนั้นแล้วเลื้อยหายไป บิดาและมารดาได้พาญาติๆมาดูที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ปรากฏว่าทารกน้อยนั้นไม่เป็นอะไรเลยสักนิด แต่ตรงที่หน้าอกของทารกนั้นได้มีดวงแก้วดวงหนึ่งวางตั้งอยู่ บิดาและมารดาจึงได้เก็บเอาไว้

ต่อมาท่านอายุได้ 15 ปีก็บรรพชาเป็นสามเณรและได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสีหยัง ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราชจนแตกฉานวิชาความรู้ของพระครูกาเดิม ท่านจึงคิดที่อยากจะไปศึกษาต่อที่พระนครศรีอยุธยาและเหตุการณ์ต่อจากนี้แหละครับจะเป็นที่มาของคำที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า "หลวงปุ่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" หลวงปู่ทวดท่านได้อาศัยเรือสำเภาของนายอินทร์ไปอยุธยา เรือสำเภาแล่นมาได้สามวันสามคืน วันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์มืดฟ้ามัวดินพายุพัดอย่างหนัก นายอินทร์เลยตัดสินใจลดใบเรือและทอดสมอเรือเพื่อโต้คลื่น ผ่านไปสามวันสามคืนพายุมรสุมได้ผ่านพ้นไปทะเลสงบแต่น้ำจืดที่ใช้ดื่มกินบนเรือได้หมดลง ทำให้นายอิทร์บันดาลโทสะแล้วโทษหลวงปู่ทวดว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะว่าตนนั้นเดินเรือมานานไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แต่พอรับภิกษุท่านนี้มาเลยทำให้เกิดเหตุการณที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนและพวกลูกเรือ ทำให้นายอินมร์ต้องบอกลุกเรือว่าให้พาพระภิกษุท่านนี้ไปส่งที่ฝั่ง ในขณะที่หลวงปู่ทวดจะลงเรือท่านไดบริกรรมคาถาสักพักแล้วได้เอาเท้าลงไปเหยียบที่น้ำทะเลแล้วให้ลูกเรือนั้นลองไปตักน้ำตรงที่ท่านเหยียบมาลองดื่มดู ปรากฏว่าน้ำที่ดื่มนั้นรสจืดลูกเรือคนนั้นจึงรีบไปบอกนายอินทน์เจ้าของเรือสำเภา นายอินทร์จึงมาพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าเป็นเรื่องจริงตามที่ลูกเรือมาบอกกับตน ปรากฏว่าเรื่องที่ลูกเรือบอกกับตนนั้นเป็นความจริงนายอินทร์จึงเกิดความศรัทธาจึงก้มลงกราบแทบเท้าหลวงปู่ทวดท่านพร้อมกับขอขมาลาโทษท่านถึงการกระทำที่ไม่ดีของตน และนี่คือประวัติพอสังเขปของท่านนะครับ และต่อจากนี้ผมจะกล่าวถึงประวัติการสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดรุ่นแรกที่นักสะสมและเซียนพระต่างเรียกหาอยากมีไว้ครอบครองกันนะครับ

พระเครื่องหลวงปู่ทวด

ก่อนอื่นต้องบอกกันให้ทราบกันก่อนนะครับว่าพระเครื่องหลวงปู่ทวดนี้นะครับนั้นมีพุทธคุณตือเมตตามหานิยม ถือว่าเป็นสุดยอดพระนิรันดร์ตราย คนที่นับถือและแขวนพระเครื่องหลวงปู่ทวดนั้นเขาจะมีความเชื่อกันว่าแขวนพระหลวงปู่ทวดแล้วจะเดินทางปลอดภัยไม่ว่าจะไปไหนก็ตามแต่ และที่สำคัญพระเครื่องหลวงปู่ทวดนั้นท่านไม่ได้เป็นคนที่สร้างเอง แต่เป็นพระอาจารย์ทิม ธัมมธโร ที่เป็นคนสร้างและได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย พระเครื่องหลวงปู่ทวดที่ได้รับความนิยมกันนั้นส่วนมากจะต้องออกจากวัดช้างให้ วัดทรายขาว และวัดพะโคะเป็นต้น ส่วนองค์พระเครื่องที่นักสะสมส่วนใหญ่อยากมีไว้ครอบครองนั้นมี พระเครื่องหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 พระเครื่องหลวงปู่ทวดพิมพ์หลังเตารีดปี 2505 พระเหรียญหลวงปู่ทวดเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ปี 2508 พระเนื้อชินหลวงปู่ทวดหลังหนังสือพิมพ์ใหญ่ปี 2505 พระเหรียญหลวงปู่ทวดเหรียญขี่คอใหญ่ เป็นต้น รุ่นที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมีราคาเช่าหากันอย่างต่ำประมาณหลักหมื่นปลายๆจนไปถึงหลักล้านเลยก็มีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นและสภาพขององค์พระนะครับ




พระเครื่องหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497



พระเครื่องหลวงปู่ทวดพิมพ์หลังเตารีดปี 2505 (หน้า)



พระเครื่องหลวงปู่ทวดพิมพ์หลังเตารีดปี 2505 (หลัง)



พระเหรียญหลวงปู่ทวดเหรียญขี่คอใหญ่

และนี่คือพระหลวงปู่ทวดที่เซียนพระเห็นแล้วยังต้องร้องขอ อยากได้มาครอบครองกันทั่วหน้าเลยเชียวละครับ